เรื่องราวประทับใจของพระราชินี สุดที่รักของปวงชนชาวไทย
เราคนไทยทุกคนต่างรับทราบเรื่องราวของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาโดยตลอด ผ่านข่าวสารตามสื่อต่างๆ ในทุกครั้งที่พระองค์ทรงตามเสด็จฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ รวมถึงในการเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ทรงเป็นผู้ริเริ่มเองด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 70 ปี นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ประกอบพิธีราชาภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 ก็ไม่เคยมีวันไหนเลยสักวันที่เราไม่ได้เห็นพระองค์ทรงงานเพื่อพสนิกรชาวไทย ซึ่งด้วยพระราชจริยวัตรอันงดงาม และพระมหากรุณธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์นี้เองที่ทำให้สำหรับใครก็ตามที่ได้รู้จัก ได้ใกล้ชิด และได้รับรู้เรื่องราว รับรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงทำแล้ว สำหรับพวกเขาพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นเพียงแค่องค์ราชินีเท่านั้น แต่ทรงเป็น “สุดที่รัก” ที่เปรียบได้กับดวงใจของชีวิต ซึ่งนับจากนี้ไป เราจะพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวความประทับใจบางส่วนของสมเด็จพระนางเจ้าสิริติ์ ที่ทรงเป็นทุกอย่างเพื่อทุกคนที่รัก จนทำให้ทรงกลายเป็นสุดที่รักของทุกคน ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ เรื่องราวนับจากนี้ไป เราคนไทยอาจไม่เคยได้ยินหรือรู้มาก่อน
ทรงเป็นรักแรก
สำหรับในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้ว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงถือเป็นทุกอย่างสำหรับพระองค์โดยแท้จริง ด้วยการตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นสมัยที่องค์พระราชินียังทรงมีพระชนม์มายุเพียงแค่ 15 พรรษา เท่านั้น ซึ่งหลักฐานที่ยืนยันว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตกหลุมรักพระราชินีตั้งแต่แรกเจอก็คือเรื่องเล่าเมื่อครั้งทรงเสด็จฯ เยี่ยมโรงงานต่อรถยนต์และชมการแสดงดนตรีที่มีชื่อเสียงในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งพระราชินี หรือขณะนั้นทรงเป็น ม.ร.ว สิริกิติ์ กิติยากร บุตรีของหม่อมเจ้านักขัตมงคลผู้เป็นท่านฑูตประจำกรุงปารีส ได้ร่วมเฝ้ารับเสด็จด้วย และในหลวงเองก็ได้รับคำสั่งพิเศษจากสมเด็จพระราชชนนีด้วยว่าเมื่อพบกับพระราชีนีแล้ว ให้โทรบอกแม่ด้วยว่า “สวยน่ารักไหม” ซึ่งคำตอบของในหลวงถึงสมเด็จพระราชชนนีเมื่อได้พบกับพระราชีนีก็คือ “เห็นแล้ว น่ารักมาก”
ทรงเป็นภาพถ่ายที่รักมากที่สุด
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดการถ่ายภาพมาก และพระราชินี คนรักของพระองค์คือบุคคลที่ในหลวงทรงชอบถ่ายภาพมากที่สุด โดยหนึ่งในความประทับใจเรื่องภาพถ่ายพระราชินีของในหลวงก็คือ เมื่อครั้งถ่ายรูปหมู่ตอนบุคคลเข้าเฝ้าฯ ณ สถานฑูตที่จะไปฝรั่งเศสนั่นแหละ โดยครั้งนั้นพระราชินีทรงอยู่ด้านหลังของกลุ่ม ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด ในหลวงจึงรับสั่งว่า “ยู้ฮู คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ” ซึ่งนี่คือรูปแรกที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายพระราชินี และรูปนี้เองก็เป็นรูปถ่ายที่ในหลวงทรงตัดเฉพาะหน้าของพระราชินีเก็บไว้ติดตัวพระองค์ตลอดเวลา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้พระราชินีทรงทราบว่าในหลวงทรงรักพระองค์ เมื่อคราที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งเมื่อทรงรู้สึกพระองค์ขึ้นมาก็ทรงหยิบรูปถ่ายใบนี้ออกจากพระกระเป๋าและนำส่งให้กับพระบรมราชชนนีพร้อมกับรับสั่งให้เรียกพระราชินีมาเฝ้า
“ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่า พระองค์ท่านทรงรักข้าพเจ้า เพราะเวลานั้นอายุเพิ่งย่าง 15 ปี ตั้งใจไว้ว่า จะเป็นนักเปียโน เป็นนักเปียโนที่แสดงในงานคอนเสิร์ต ตอนพระองค์ท่านประทับที่โรงพยาบาล หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีพระอาการหนักมาก ตำรวจเขาโทรศัพท์ ไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระราชชนนี พระองค์ท่าน รีบเสด็จไปทันทีแต่แทนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีพระราชปฏิสันถารกับพระองค์ ท่านกลับทรงหยิบรูปข้าพเจ้าออกมาจากกระเป๋า โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์ทรงมีรูปของข้าพเจ้าอยู่แล้ว พระองค์ก็ตรัสให้นำตัวข้าพเจ้าเข้าเฝ้า พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดถึงแต่เรื่องที่จะอยู่กับคนที่ ข้าพเจ้ารักเท่านั้น ไม่ได้นึกไปไกลถึงหน้าที่และภารกิจของพระราชินีเลย”
นอกจากเหตุการณ์ภาพถ่ายใบแรกที่พกติดตัวไว้ในพระเป๋า ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความรักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่มีต่อพระราชินีได้อย่างชัดแจ้งก็คือ เมื่อครั้งเคยรับสั่งกับ Mr. Reginald Davis ช่างภาพจากประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับการที่สื่อมวลชนถ่ายภาพพระองค์กับพระราชินีว่า
“เราไม่ค่อยชอบเวลาใครมาถ่ายภาพภรรยาของเรา เราจะรู้สึกหวงและอิจฉา (jealous) บรรดาช่างภาพทั้งหลายเพราะเราชอบถ่ายภาพพระราชินีด้วยตัวเราเอง เราไม่เคยทิ้งรูปถ่ายของเธอแม้แต่สักภาพเดียว แม้ว่าจะมีบางภาพ
ที่เราไม่ค่อยชอบก็ตาม”
ทรงเป็นคนที่อยากให้อยู่เคียงข้างตลอดไป
แทบจะเป็นภาพชินตาประชาชนคนไทยเลยด้วยซ้ำกับการที่ไม่ว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 จะเสด็จไป ณ ที่แห่งใด ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล จะในประเทศหรือต่างประเทศ เราก็จะได้เห็นพระราชินีเสด็จเคียงบ่าเคียงไหล่เคียงข้างพระองค์ไปด้วยเสมอ ตั้งแต่แรกเริ่มที่พระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสใหม่ๆ เรื่อยมายาวนาน 60 กว่าปีก็ไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งภาพเหล่านั้นสะท้อนให้เราได้เห็นชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นคู่รักที่เป็นคู่แท้ต่อกันอย่างไม่มีข้อสงสัย ทั้งนี้ หนึ่งในเหตุการณ์ประทับใจเหตุการณ์หนึ่งที่ได้รับการเล่าต่อกันมาถึงความรักความโรแมนติกระหว่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ต่อสมเด็จพระราชินี ก็คือเมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปส่งพระราชินี และในหลวงรัชกาลที่ 10 ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจยังต่างประเทศ ซึ่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ปฏิบัติหน้าที่ส่งเสด็จฯ ได้เล่าเอาไว้ถึงข้อความที่ได้ยินในหลวงตรัสกับพระราชินีว่า “เธออย่าจากฉันไปนานนะ” ทั้งนี้ ในหลวงไม่ได้เพียงแค่ตรัสเฉยๆ แต่ทรงส่งสายพระเนตรที่ถึงพระราชินีของพระองค์ด้วยทรงอาลัยอาวรณ์ พร้อมกับจับพระหัตถ์เอาไว้แน่นไม่ทรงยอมปล่อยอีกด้วย
ทรงเป็นรอยยิ้มแห่งองค์ราชัน
ความโรแมนติกเป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนมักแสดงออกแก่หญิงผู้ซึ่งเป็นที่รักเสมอ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 เองก็ทรงเป็นองค์ราชาที่แสดงออกอย่างชัดเจนด้วยการกระทำว่าพระองค์ทรงรักสมเด็จพระราชินีมากเพียงใด แต่ในอีกทางหนึ่งนอกจากที่พระองค์จะโรแมนติกกับพระราชินีในยามที่อยู่ด้วยกันแล้ว แม้ในยามตอบคำถามผู้อื่น พระองค์ก็ยังทรงเอ่ยถึงพระราชินีของพระองค์ด้วยความโรแมนติกและเปี่ยมไปด้วยความรักเช่นกัน ดังเหตุการณ์ครั้งหนึ่งเอครั้งเสด็จฯ ไปเยือนสหรัฐอเมริกาในปีพุทธศักราช 2503 นักข่าวต่างประเทศได้กราบบังคมทูลถามในหลวงงรัชกาลที่ 9 ว่า “เหตุใดพระมหากษัตริย์ไทยจึงไม่ค่อยยิ้ม” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงผายพระหัตถ์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ แล้วตรัสสั้น ๆ ว่า “She is my smile”
ทรงเป็นเพื่อนที่แสนดี
นอกจากที่พระองค์จะทรงเป็นดวงใจของในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้ว พระราชินีก็ทรงเป็นสหายที่แสนดีสำหรับเพื่อนร่วมรุ่นของพระองค์เสมอตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์จนกระทั่งปัจจุบันด้วย โดยหนึ่งในเสียงยืนยันถึงการเป็นเพื่อนที่น่ารักขององค์พระราชินีนั้นก็คือคำสัมภาษณ์ของพระสหายร่วมรุ่นที่สนิทสนมเป็นพิเศษ อย่างคุณปรียา ไตลังคะ ที่ได้เขียนไว้ในหนังสือรุ่นศิษย์เก่าเซนต์ฟรังฯ ปี 2491 ในหลายๆ ข้อความ ดังนี้
“…เรียนอยู่ชั้นเดียวกันเลยค่ะ อยู่ห้องเดียวกันจนถึงชั้น ม.3 มีนักเรียนอยู่ 30 กว่าคน ไปไหนไปด้วยกันตลอด เรียกท่านด้วยชื่อเฉยๆ พูดไม่มีคะขาหรอกค่ะ มาสเซอร์แอสเตอร์เคยถามว่า ดิฉันกับสมเด็จฯ ทำไม talkative (ช่างพูด) จัง ช่างพูดในห้องเรียนจนถูกมาสเซอร์แอสเตอร์ดุบ่อยๆ…”
“…ตอนนั้น เซนต์ฟรังฯ ยังไม่ได้รับรองวิทยฐานะ เราจึงต้องไปสอบที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ เดินทะลุตรอกไปสอบ สมเด็จฯ ท่านทรงเปียโน ทรงร้องเพลงโฮมสวีทโฮม ด้วยนะคะ เวลาอาหารกลางวัน เด็กคนอื่นทานที่โรงอาหาร ท่านมีคนมาส่งปิ่นโต เอาปิ่นโตมากับท่านผู้หญิงบุษบา น้องสาว บางทีมีขนมหวาน ท่านก็แบ่งให้เราทาน บางทีก็เป็นก๋วยเตี๋ยว เป็นก๋วยเตี๋ยวหมู เจ้าโล ธุระวณิชย์ คนขายชื่อเจ๊กฮะ แห้งชามละ 3 สตางค์ น้ำชามละ 5 สตางค์ อะไรทำนองนี้ค่ะ…”
“…การเล่นที่นิยมมากของนักเรียนในห้องนี้คือ วิ่งเปี้ยว โดยเฉพาะสมเด็จฯ ถือได้ว่าเป็นกีฬาโปรด ทรงเป็นหัวหน้าทีม เพราะวิ่งเร็วมาก ต่อมาเมื่อท่านเสด็จเยี่ยมเซนต์ฟรังฯ หลังเป็นสมเด็จพระราชินีแล้ว ท่านยังรับสั่งกับดิฉันว่า จำได้ไหม ตรงนี้เป็นเพลย์กราวด์ เราเคยเล่นวิ่งเปี้ยวด้วยกัน…”
ทรงเป็นสมเด็จแม่ที่รักของลูกๆ
สมเด็จพระบรมราชินีฯ ได้ทรงเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าพระองค์โปรดปรานการเป็นแม่ที่สุด ซึ่งก็เชื่อเหลือเกินว่าเราคนไทยทุกคนก็เห็นเช่นนั้น ด้วยเพราะพระองค์ทรงดูแลลูกๆ ของท่านทุกพระองค์เป็นอย่างดี ซึ่งในพระราชนิพนธ์เรื่อง “แม่” ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเล่าถึงความรู้สึกที่มีแด่สมเด็จแม่ของพระองค์ไว้อย่างน่าประทับใจในหลายๆ ตอน ดังต่อไปนี้
“เรื่องนิทานของสมเด็จแม่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้น คือเรื่องผี แต่ก่อนนี้พี่เลี้ยงไม่ยอมเล่าเรื่องผี พอไปโรงเรียนเพื่อนๆ ก็มาหลอก สมเด็จแม่ท่านว่า ถ้ามานั่งอธิบายว่าผีไม่มี จ้างก็ไม่เชื่อ ท่านจึงสำทับโดยการเล่าเรื่องผีที่น่ากลัวกว่าให้เข็ด”
“ท่านชอบอ่านเป็นภาษาอังกฤษให้เราหัดฟังภาษาด้วย นานๆ ทีก็อาจจะมีการถามปัญหาทวนความจำ ถ้าตอบถูกมักมีรางวัลเงินสด 1 บาท เป็นที่ขบขันกันในครอบครัวว่าหนังสือธรรมดาๆ ที่น่าเบื่อที่สุดในโลก พอสมเด็จแม่เล่ามันสนุกตื่นเต้นมีรสมีชาติขึ้นมาทันที ท่านจะเน้น ระบายสี หยิบยกจับความที่น่าสนใจขึ้นมาเล่า (ทูลหม่อมพ่อยังโปรดฟัง) ทำให้จำง่ายไม่ต้องท่อง เรื่องนี้มีความลับอย่างหนึ่ง (ที่เปิดเผยได้แล้ว) ว่า บางทีข้าพเจ้าขี้เกียจอ่านหนังสือเพราะเรียนเยอะแยะ ก็อาศัยจำเอาจากที่สมเด็จแม่เล่า นำมาวิจารณ์เพิ่มเติม แล้วใช้ตอบข้อสอบ หรือเขียนรายงานส่งครูสบายๆ”
ทรงเป็นสุดที่รักของรัชกาลที่ 10
นอกจากพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ ถึงพระราชินีแล้ว ในหนังสือ “สี่เจ้าฟ้า” โดย ลาวัณย์ โชตามระ ก็ยังได้มีการเล่าถึงความรักระหว่างสมเด็จพระบรมราชินีนาถ กับ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ไว้หลายๆ เรื่องราวที่น่าประทับใจ ซึ่งสำหรับในหลวงรัชกาลที่ 10 แล้ว พระองค์ทรงอ่อนหวานและอ่อนโยนเป็นพิเศษกับสมเด็จแม่เสมอ อย่างเวลาเข้าเฝ้าฯ ก็มักกราบบังคมทูลเสมอว่า “ชายตามกลิ่นน้ำอบแม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน” หรือเมื่อครั้งต้องทรงเสด็จไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทกลอนทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ความตอนหนึ่งว่า
“เมื่อสิบสองมกราหนึ่งห้าลูกคราคลาด ต้องนิราศจากไปไกลหนักหนา
จำใจจากแม่พ่อคลอน้ำตา นึกขึ้นมาคราใดใจอาวรณ์
ลูกจากไปครานี้มีจิตมั่น จะขยันและทำตามคำพร่ำสอน
ถึงลำบากอย่างไรไม่อุทธรณ์ สู้ทุกตอนตามประสงค์จำนงใจ
วันอากาศแจ่มใสใจลูกสู้ วันฝนพรูหิมะแฉะแย่สับสน
มันหนาวเหน็บน่าเบื่อเหลือจะทน ทุกข์ระคนใจเศร้าเคล้าน้ำตา
หวังสี่ปีข้างหน้าถ้าโชคช่วย อาจอำนวยให้สำเร็จการศึกษา
คงได้รับยศศักดิ์ปริญญา ดังเจตนาแม่พ่อผู้รอคอยฯ”
และนอกจากบทกลอนที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงพระราชนิพนธ์ถึงสมเด็จแม่เพื่อแสดงถึงความรักความห่วงหาแล้ว ในทุกครั้งที่พระองค์ได้เสด็จพระดำเนินตามสมเด็จพระบรมราชินีนาถไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจในถิ่นทุรกันดาร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็จะทรงดูแลสมเด็จพระบรมราชินีนาถอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาข้าราชบริพารทุกคน โดยครั้งหนึ่งสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งอย่างภาคภูมิใจว่าพระองค์ท่านเปียกน้อยกว่าคนอื่นๆ ในการเสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนราษฎรตามถิ่นทุรกันดารที่มีแหล่งน้ำ แหล่งโคน เพราะ “องค์รักษ์ประจำตัวฉัน ไม่ยอมให้ฉันเปียกเลย…ตรงไหนน้ำลึกๆ ก็ยกฉันจนตัวลอยพ้นน้ำเลย” (องครักษ์ประจำพระองค์ : ทรงหมายถึง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่โดยเสด็จพระราชดำเนินในวันนั้น) ทั้งนี้ สามารถติดตามเรื่องราวความประทับใจในความอ่อนโยนขององค์รัชกาลที่ 10 เพิ่มเติมได้ที่บทความ “ราชันเจ้าเวลา องค์ราชาผู้อ่อนโยน”
ตลอดระยะเวลาเกือบ 70 ปีที่พระองค์ทรงดำรงแหน่งเป็นองค์ราชินีแห่งปวงไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์ด้วยความรักเสมอมา ทรงเป็นแม่หลวงของประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า เป็นที่รัก และเป็นศูนย์รวมใจสำคัญของคนทั้งชาติ ซึ่งด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ทรงมีต่อพสกนิกรทุกคนนี้เอง จึงเป็นหน้าที่ของเราปวงชนชาวไทย ที่จะต้องจงรักภักดีในพระองค์ จงรักภักดีในพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ รวมถึงต้องตั้งตนอยู่บนพื้นฐานของความดี คิดดี ทำดี เป็นพลเมืองดีที่จะช่วยเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะผลักดันประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า พบความสงบสุขร่มเย็นต่อไป ให้สมกับที่องค์ราชินีทรงทำเพื่อเรามาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Thairath, Unigang, Sudsupda, Tnews, TKPark
ขอขอบคุณรูปจาก
https://bit.ly/2OeKQo4
หากคุณมีเรื่องราวไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ ที่ต้องการประชาสัมพันธ์ในเวบไซต์ Alive Around ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทเทรนด์แฟชั่น ความงาม ร้านอาหาร คาเฟ่สุดชิค แหล่งท่องเที่ยว หรือสถานที่แฮงค์เอ้าท์สุดคูล เทรนด์การตกแต่งบ้าน งานศิลปะ การออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือแม้แต่ข่าวสาร และเกร็ดความรู้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ งานอีเว้นท์ เทคโนโลยี แก็ดเจ็ตใหม่ล่าสุด ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ สามารถติดต่อกับทีม Admin ของเราได้ที่ www.alivearound.com โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น