“บาหลี” เกาะสวรรค์ เสน่ห์แห่งวัฒนธรรม และธรรมชาติที่ชวนค้นหา
หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในอาเซียนที่มีกลิ่นอายศิลปะวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และที่สำคัญมีธรรมชาติที่ชวนค้นหา แน่นอนว่าหนึ่งในสถานที่ที่แว้บเข้ามาในความคิดคือ “บาหลี” หรือเรียกกันว่าเป็น “เกาะสวรรค์” ซึ่งเป็น 1 ใน 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย
“เสน่ห์ของบาหลีไม่ใช่แค่ธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมที่สวยสดงดงาม แต่เป็นวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต่อให้โลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน”
และในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสไปเที่ยวบาหลีกับครอบครัวเป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ก่อนเดินทางชุลมุนวุ่นวายพอสมควรเพราะดันทำ passport หาย ต้องไปแจ้งความ และทำเล่มใหม่ โชคดีที่กรมการกงสุลเปิดให้บริการทำหนังสือเดินทางที่ MRT คลองเตย (ทางออกที่ 2) ซึ่งตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองมากๆ นอกจากเดินทางสะดวกแล้ว กระบวนการทำรวดเร็วมากใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว (ไม่นับเวลาต่อคิว) และหนังสือเดินทางก็จะส่งตรงไปตามที่อยู่ที่เราแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ภายในไม่กี่วัน สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าบาหลี ใช้เพียงแค่หนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน สำหรับสกุลเงินของบาหลี คือ รูเปีย (IDR) ซึ่ง 10,000 รูเปีย จะเท่ากับ 22.75 บาท (As of April 2018) เนื่องจากทริปนี้เราซื้อ package tour ซึ่ง cover ค่าใช้จ่ายทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม, ค่ารถ, ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ และอาหารทุกมื้อ เราเลยแลกเงินเป็น pocket money ไป 20,000 บาท (สำหรับ 4 คน) ซึ่งตอนไปแลกที่ Super Rich มีความตกใจเล็กน้อยเพราะถือเงินอยู่เกือบ 9,000,000 !!! แต่เป็นรูเปียนะคะ สำหรับใครที่จะไปแลกเงินที่ Super Rich ขอแนะนำว่าให้โทรเช็คกับสำนักงานใหญ่ก่อนว่าสาขาไหนมีเงินรูเปียบ้าง จะได้ไม่เสียเที่ยว
วันแรกของการเดินทางก็จะเหนื่อยๆ หน่อย เพราะว่าบินไฟล์ท 6 โมงเช้า ต้องมาเช็คอินที่สนามบินดอนเมืองตอนตี 3 พอขึ้นเครื่องนอนหลับเป็นตาย ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ถึงท่าอากาศยานงูระห์ไร หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติเดนปาซาร์ (ที่บาหลีเวลาจะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) หลังจากนั้นผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง (เจ้าหน้าที่ทำหน้าดุตามสไตล์ แต่โชคดีไม่ถามอะไรเลย ทั้งขาไป-ขากลับ) พอทันทีที่ก้าวออกจากสนามบิน ปะทะอากาศ แทบจะเป็นลม อากาศร้อนมากกก เรียกว่าหนีร้อนมาเจอร้อนกว่า
สถานที่แรกที่ได้เดินทางไปชมคือ “สวนพระวิษณุ” ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 240 ไร่ มีรูปปั้นพระวิษณุ (พระนารายณ์) ขนาดใหญ่ครึ่งตัว ความสูง 20 เมตร ตั้งอย่างโดดเด่นเป็นสง่า พระวิษณุเป็น 1 ใน 3 เทพเจ้าสูงสุดของชาวฮินดู เป็นมหาเทพผู้อวตารปกป้องโลกมนุษย์ และนอกจากนี้ยังมีรูปปั้นประติมากรรมพระนารายณ์ทรงครุฑที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความสูง 150 เมตร กว้าง 64 เมตร ขนาดน้ำหนัก 4,000 ตัน ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปีนี้
สถานที่แห่งนี้ยังใช้จัดแสดงโชว์ “ระบำบารอง” ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวบาหลี เราจะได้เห็นสาวๆ บาหลี มาระบำอย่างอ่อนช้อย กลอกลูกตาไปมา ซึ่งเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของบาหลีเลย และภายในสวนวิษณุยังมีร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึกด้วย
หลังจากนั้น ก็แวะชม “วิหารอูลูวาตู” ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงเหนือมหาสมุทรอินเดีย พร้อมชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามอีกมุมหนึ่งของเกาะบาหลี ก่อนที่จะลงจากรถเพื่อเข้าไปยังวิหาร หัวหน้าทัวร์ได้แนะนำว่า อย่าใส่หมวก หรือแว่นกันแดด หรือพกอะไรเล็กๆ น้อยติดตัวไป เพราะลิงที่นี่นิสัยขี้ขโมย ชอบฉกของ แล้วอย่าหวังว่าจะได้คืน เพราะลิงที่นี่ดุมาก! ระหว่างเดินชมวิหารก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของกรุ๊ปสาวๆ จีน ซึ่งก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเป็นอย่างที่คิดลิงฉกหมวกนางไปแล้วเอาไปกัดเล่นอย่างสนุกสนาน เป็นอีกสถานที่นึงที่เรียกเหงื่อได้เยอะยิ่งกว่าเข้าฟิตเนสซะอีก
มาถึงสถานที่สุดท้ายของวัน “ชายหาดจิมบารัน” เป็นชายหาดรูปวงพระจันทร์ ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบของเกาะบาหลี ให้เราได้ฟินกับการถ่ายรูป เซลฟี่ ท่ามกลางหาดทรายสีขาว ตัดกับท้องฟ้าสีคราม และเก็บภาพประทับใจยามพระอาทิตย์ตกดิน (พระอาทิตย์ดวงโตมากๆ) มีความรู้สึกว่าแสงสีทองจากพระอาทิตย์กำลังดูดเราไปอีกโลกหนึ่ง บริเวณริมหาดเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย เป็นอีกสีสันยามค่ำคืน ได้กินอาหารทะเล และมีนักดนตรีชาวอินโดมาร้องเพลงไทยให้ฟังที่โต๊ะด้วย
วันที่ 2 ตื่นมาแบบมึนๆ อึนๆ โดนปลุกด้วย morning call ตอน 6 โมงเช้า หรือตี 5 เมืองไทย กินข้าว 7 โมง ล้อเลื่อนตอน 8 โมงเช้า (Code สำหรับทัวร์นี้คือ 6-7-8) แล้วมุ่งหน้าไป Bali Bidadari Batik ชมศิลปะการ paint ลวดลายบนผ้าบาติก เป็นงานคราฟท์มาก เพราะเป็นการเขียนภาพด้วยการใช้เทียน และใช้สีทำให้เกิดภาพลวดลายบนผืนผ้า ซึ่งหัวหน้าทัวร์บอกว่าเราสามารถรีเควสลายที่เราต้องการได้ นอกจากนี้ ยังได้ชมผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าบาหลี ซึ่งราคาค่อนข้างสูง อย่างชุดเดรสยาว ตกตัวละประมาณ 1 พันกว่าบาท แต่คุณภาพของเนื้อผ้า และดีไซน์ดูดีมีระดับกว่าในตลาดมาก
วิหารศักดิ์สิทธิ์ภัคศิริงค์ (วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์) สร้างในศตวรรษที่ 13 ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาในราชวงศ์กษัตริย์เท่านั้น พอย่างก้าวเข้าไปภายในวิหารเก่าแก่ รู้สึกถึงความเย็นสบาย จากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ (Tirta Empul) ที่ผุดขึ้นจากใต้ดินเป็นพันปี โดยไม่มีวันหมด ด้านหน้าปากถ้ำเป็นสระศักดิ์สิทธิ์ มีน้ำไหลพุ่งจากปากปล่องแกะสลักเป็นรูปอิสตรี 6 นาง ชาวบาหลีเชื่อว่า ถ้าใครอยากมีลูก ลองมาดื่มหรืออาบน้ำที่นี่ จะมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง และยังเชื่อว่าน้ำจากบ่อรักษาโรคได้ และยังขับไล่สิ่งชั่วร้าย สร้างสิริมงคลให้แก่ชีวิตอีกด้วย
และมาถึงเวลาที่ขาช็อปตั้งตารอ ใกล้ๆ กับวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นย่าน ตลาดปราบเซียน ให้เราได้สนุกสนานกับการต่อรองสินค้าพื้นเมืองในตลาด มีทั้งเสื้อผ้า สโร่ง ผ้าพันคอ แม็กเน็ต พวงกุญแจ เครื่องประดับต่างๆ ที่นี่สามารถจ่ายเป็นเงินไทยได้ และแม่ค้าก็พูดภาษาไทยได้ด้วย (เพราะฉะนั้นอย่าแอบเม้าท์ เพราะว่าแม่ค้าฟังออก) บทเรียนจากการช็อปที่นี่ ทำให้รู้ว่าร้านแรกๆ ตรงต้นซอยจะแพงที่สุด และร้านที่อยู่ด้านท้ายจะถูกสุด (เราซื้อชุดเดรสจากร้านแรกต่อจาก 800 เหลือ 500 บาท เดินมาจนเกือบถึงร้านสุดท้ายเจอชุดแบบเดียวกันเลย แม่ค้าลดราคาให้เหลือ 150 บาท OMG!!! ราคาต่างกันมาก น้ำตาแทบไหล) แม่ค้าบางรายตื้อมาก ถึงขั้นดึงแขนลากเข้าร้าน จะบังคับให้เราซื้อให้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใจไม่แข็งพอ ทำใจไว้เลย ว่าเสียทรัพย์แน่นอน!
หลังจากนั้น ก็เดินทางขึ้นสู่ หมู่บ้านคินตามานี ตั้งอยู่บนระดับความสูง 1,500 เมตร และเป็นหนึ่งในอาณาจักรยุคต้นๆ บนเกาะบาหลี ชมภูเขาไฟบาตูร์ และทะเลสาบบาตูร์ ซึ่งเกิดจากการยุบตัวของภูเขาไฟบาตูร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบาหลี และตั้งอยู่ด้านข้างภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,717 เมตร เป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป
มาถึงอีกสถานที่ที่เรียกเหงื่อได้หนักมาก นั่นคือ วัดเบซากีห์ ซึ่งเป็นวัดในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุด และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของบาหลี ในวันที่เราเดินทาง มีงานพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งจัดเป็นวันสุดท้าย ชาวบาหลีแต่งกายด้วยชุดสีขาว พร้อมเครื่องบูชากราบไหว้ ทางที่จะเดินขึ้นไปบนวัดเป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร ดูเหมือนไม่ไกล แต่มีความเหนื่อย เพราะต้องเดินขึ้นเนินท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ไม่สามารถนำรถยนต์ หรือรถบัสขึ้นไปได้ (แต่มอเตอร์ไซด์ขึ้นไปได้นะ ตอนหลังเริ่มหมดแรง เลยแอบใช้บริการพี่วิน ค่าเสียหาย 20,000 รูเปีย หรือประมาณ 45 บาท)
วันที่ 3 ได้เดินทางสู่หมู่บ้าน BATU BULAN VILLAGE ท่ามกลางบรรยากาศทุ่งนาสีเขียวเพื่อชมระบำบารอง แดนซ์ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นจัดเต็มกว่ารอบที่เคยดูที่ผ่านๆ มา “บารอง” เป็นสัตว์ในตำนาน ซึ่งมีหลังอานยาว และหางงอนโค้ง เป็นสัญลักษณ์แทนความดีงาม เป็นผู้ปกปักษ์รักษามนุษย์ ต่อสู้กับรังดา ตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณชั่วร้าย เราจะได้เห็นการร่ายรำที่อ่อนช้อย งดงาม ในบางตอนนักแสดงก็ปล่อยมุกตลกๆ ชาวบาหลีวัยรุ่นขำกันใหญ่ แต่ด้วยความที่เราฟังภาษาของเค้าไม่ออกเลยไม่อินเท่าไหร่
หลังจากชมการแสดง ก็มุ่งหน้าไปยังวัดเม็งวี หรือ วัดทามันอายุน ซึ่งเป็นวัด 1 ใน 6 ที่สวยงามที่สุดของบาหลี อดีตเป็นวัดหลวงของกษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งวีใช้ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งวีเท่านั้น ถูกสร้างในคริสต์ศตวรรณที่ 17 โดดเด่นด้วยเจดีย์สไตล์บาหลีที่สร้างเป็นชั้นสูงๆ ขึ้นไปแล้วมุงด้วยฟาง ส่วนกำแพง ประตูวัด ก่อด้วยหินสูง แกะสลักลวดลายอย่างประณีตงดงาม มีสระน้ำล้อมรอบตัววัด ปัจจุบันอนุญาติให้ชาวฮินดูเข้าไปประกอบพิธีทางศาสนาได้ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา สามารถเดินได้แค่รอบๆ วัด แต่ด้วยความที่กำแพงเตี้ย จึงทำให้เรามองเห็นพื้นที่ด้านในได้
มื้อกลางวันทานบุฟเฟ่ต์ที่ร้าน Secret Garden เป็นร้านที่ชอบที่สุดตั้งแต่มาบาหลี นอกจากดีไซน์การตกแต่งร้านจะดูทันสมัย โดดเด่นด้วยการออกแบบกระจกบานใหญ่เต็มพื้นที่ เปิดรับวิวทุ่งหญ้าสีเขียวขจีเล่นระดับจากภายนอก ยังมีร้านกาแฟ Black Eye ซึ่งมีกาแฟหลากหลายเมล็ดพันธ์ให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น Bali, Toraja, Flores, Java, Sumatra, Aceh, Lampung, Luwak สำหรับใครที่ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเมล็ดพันธ์ไหน ทางร้านมีกาแฟดริปที่สกัดจากแต่ละพันธ์ให้ชิมฟรี และหากเราซื้อเมล็ดกาแฟจากทางร้าน เค้ามีบริการบดกาแฟให้ตามระดับที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นบดหยาบสำหรับดริป หรือบดละเอียดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ศิลปะการรินน้ำร้อนวนก้นหอย และหยดไปบนกาแฟคั่วบดนานหลายนาทีเพื่อละลายกาแฟออกมาอย่างช้าๆ
ขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณบาริสต้าสุดหล่อ จากร้าน Black Eye ที่เก็บกระเป๋าเงินให้เรา (มัวแต่ดูเค้าดริปกาแฟ ถ่ายรูปเพลิน จนลืมกระเป๋าไว้ตรงเค้าน์เตอร์) มารู้ตัวอีกทีตอนอยู่บนรถบัสระหว่างทางไป เทือกเขาเบดูกัล ทางร้านโทรมาแจ้งไกด์ท้องถิ่นบอกว่าเก็บกระเป๋าเงินไว้ให้แล้ว ไม่ต้องห่วง ซึ่งเราแวะไปรับหลังจากลงเขา พร้อมมอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นสินน้ำใจแก่บาริสต้า ถือเป็นร้านที่ได้ใจเราไปเต็มๆ ^_^
ถึงเวลาเดินทางมุ่งหน้าสู่เทือกเขาเบดูกัล เทือกเขาที่งดงาม ระดับความสูง 1300 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีทะเลสาบที่สงบเงียบถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก ขอบอกว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาเหยียบบาหลี ที่ได้สัมผัสความเย็นของสายลมที่กระทบผิวกาย เป็นอะไรที่ฟินมากๆ
ปิดท้ายทริปบาหลีอย่างสวยๆ ด้วย “วิหารทานาล็อท” วิหารงูอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติซึ่งสร้างไว้เพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งมหาสมุทร ตั้งอยู่บนโขดหินชายหาดริมมหาสมุทรอินเดีย คำว่า “ทานา” หมายถึง โลก ส่วนคำว่า “ล็อท” แปลว่า ทะเล จึงมีความเชื่อว่าวัดแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการบรรจบของธรรมชาติและจักรวาล
เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ส่งท้ายทริปบาหลี
- นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเดินทางไปบาหลีได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า
- ภาษาประจำชาติของชาวบาหลีคือ ภาษาบาหะซาร์ แต่ตามแหล่งท่องเที่ยวสามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษาอังกฤษ
- จากดอนเมืองไปบาหลี ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง (ถ้าไปสายการบิน Air Asia ก็จะเมื่อยๆ หน่อย ควรเตรียมหมอนรองคอมาด้วย)
- บาหลีเวลาเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง
- บาหลี ใช้สกุลเงิน รูเปีย (IDR) อัตราแลกเปลี่ยน 10,000 รูเปีย = 22.75 บาท
- สายการบินที่บินตรงไปบาหลี มี การบินไทยการูด้า แอร์ไลนส์, สิงคโปร์แอร์ไลนส์ และ Air Asia
- กระแสไฟฟ้าที่บาหลี 220 โวลต์ ปลั๊กที่ใช้เป็นรูกลม 2 ขา (เราไปซื้อที่ Fortune Tower อันละ 95 บาท)
- ของฝากจากบาหลี แนะนำให้ซื้อของพื้นเมืองที่ตลาดปราบเซียน เพราะเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่ถูกที่สุด ถ้ามีเวลาอยากให้ดูทั่วๆ สอบถามราคาให้ดีก่อน จะได้ไม่เสียใจทีหลัง แนะนำให้พกแบ้ง 100 ไทยด้วย เพราะบางทีจ่ายเป็นเงินรูเปีย มันจะไม่พอดี แม่ค้าก็จะพยายามตื้อให้เราซื้อของเพิ่มเรื่อยๆ อย่าง magnet ร้านท้ายๆ ขาย 10 อัน 100 สำหรับของกิน แนะนำ Bali Garuda Chocolate กล่องละประมาณ 100 กว่าบาท (ถูกและอร่อย) และหมี่โกเร็ง ส่วนตัวชอบ Pop Mie Cup แบบแห้ง ตกอันละ 12 บาท หาซื้อได้ตาม mini mart หรือ supermarket ของขึ้นชื่ออีกอย่างคือกาแฟขี้ชะมด แต่พอรู้ process การทำ เลยไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่
- สำหรับสายแอล ควรลองเบียร์ BINTANG เห็นตามร้านคนดื่มเยอะมาก (แต่ไม่ได้ลองด้วยตัวเอง เพราะเป็นสายกาแฟ) เคยอ่านในรีวิว เค้าบอกว่ารสชาติจะเหมือนน้ำผลไม้ เหมือนจิบ Hoegaarden Rose
- ที่บาหลี มีจุดแลกเงินเยอะมาก สามารถเอาเงินไทยไปแลกเงินรูเปียได้เลยค่ะ
- พกยาดม ยาแก้ปวดหัว เมารถ ท้องอืด ท้องเสีย ติดตัวไว้ก็ดีค่ะ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ทานได้เลย
- ชาวบาหลีมักจะนำกระทงใบตองบรรจุดอกไม้ ธูปเทียนวางไว้ตามหน้าบ้าน ตามถนนหนทาง สถานที่ต่างๆ รอบๆเกาะไว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เวลาเดินระวังดีๆ อย่าเผลอไปเหยียบนะคะ
- หากต้องการใช้โทรศัพท์มือถือ สำหรับเล่นไลน์ หรือโพสรูปลงโซเชียล ควรซื้อ SIM CARD จากเมืองไทยไปก่อน พอถึงสนามบิน จะได้เปิดใช้ได้เลย ที่ใช้กันเยอะๆ ก็จะมี SIM2Fly ของ AIS และ TRAVEL SIM Asia ของ True Move ซึ่งเป็น เน็ตโรมมิ่ง 4G/3G แบบ Non-Stop ความเร็วสูงสุด 4GB นาน 8 วัน ราคา 399 บาท เท่ากัน ส่วนตัวขอแนะนำของ AIS สัญญาณแรงดีไม่มีตก แรงข้ามภพข้ามชาติเหมือนที่แม่หญิงการะเกดบอกจริงๆ เราซื้อของ True Move ไป สัญญาณหายตลอด หงุดหงิดมาก หรือไม่ก็หาซื้อได้ที่ท่าอากาศยานงูระห์ไร
- ใครอยากไปเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ อยากเลือกที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวเอง แนะนำว่าอย่าไปกับทัวร์ เพราะแต่ละที่ให้เวลาแค่นิดเดียว และบางคนอาจไม่ถูกปากกับอาหารพื้นเมืองของชาวบาหลีด้วย เพราะส่วนใหญ่จะเป็นแนว veggie ผัก เต้าหู้เยอะ ไก่สะเต๊ะก็ไม่ค่อยอร่อยเท่าบ้านเรา แนะนำให้เช่ารถพร้อมคนขับชาวบาหลีดีกว่า แต่ขอเสียของการจัดทริปเองคือเราไม่สามารถคุมค่าใช้จ่ายได้ และไม่สะดวกสบาย เท่ากับมีทัวร์ดูแล ยังไงลองชั่งน้ำหนักดูนะคะ ว่าแบบไหนตอบโจทย์ความต้องการของคุณมากกว่ากัน 🙂
หากคุณมีเรื่องราวไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ ที่ต้องการประชาสัมพันธ์ในเวบไซต์ Alive Around ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทเทรนด์แฟชั่น ความงาม ร้านอาหาร คาเฟ่สุดชิค แหล่งท่องเที่ยว หรือสถานที่แฮงค์เอ้าท์สุดคูล เทรนด์การตกแต่งบ้าน งานศิลปะ การออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือแม้แต่ข่าวสาร และเกร็ดความรู้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ งานอีเว้นท์ เทคโนโลยี แก็ดเจ็ตใหม่ล่าสุด ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ สามารถติดต่อกับทีม Admin ของเราได้ที่ www.alivearound.com โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น