กทม.ขึ้นค่าเก็บขยะ กับผลกระทบที่มากกว่าค่าใช้จ่าย

1
กทม.ขึ้นค่าเก็บขยะ กับผลกระทบที่มากกว่าค่าใช้จ่าย

เมื่อกรุงเทพมหานครประกาศปรับขึ้น ค่าเก็บขยะ สำหรับบ้านเรือนและสถานประกอบการทั่วเมือง เสียงสะท้อนจากประชาชนก็ดังขึ้นทันที หลายคนอาจรู้สึกไม่พอใจที่ต้องเสียเงินเพิ่มโดยที่ยังไม่เข้าใจเบื้องหลังของการปรับอัตราใหม่นี้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง การขึ้นค่าเก็บขยะอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากเรามองลึกลงไปถึงระบบการจัดการขยะทั้งห่วงโซ่ และใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในบ้านของเราอย่างยั่งยืน

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจบริบทของนโยบาย “กทม.ขึ้นค่าเก็บขยะ” ในแง่มุมที่ลึกกว่าตัวเลข พร้อมแนะแนวทางที่คนเมืองอย่างเราสามารถปรับตัว และใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด ทั้งในแง่สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจครัวเรือน


ค่าเก็บขยะของ กทม. ปรับขึ้นทำไม?

การปรับขึ้นอัตราค่าเก็บขยะของกรุงเทพฯ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล หากมองจากต้นทุนที่แท้จริงในการจัดเก็บและกำจัดขยะ เราจะพบว่า งบประมาณที่กรุงเทพมหานครต้องใช้ในแต่ละปีนั้นสูงถึงหลายพันล้านบาท ขณะที่รายได้จากค่าจัดเก็บของประชาชนยังไม่เคยสะท้อนต้นทุนจริง

สถิติที่น่าตกใจ:

  • กรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะเฉลี่ยกว่า 9,000 ตันต่อวัน

  • ต้นทุนในการจัดการขยะรวมต่อคนอยู่ที่ราว 10–15 บาท/วัน แต่เก็บจริงแค่ 20 บาท/เดือน สำหรับบ้านเรือนทั่วไป

  • ค่าขนส่งและค่าฝังกลบเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่รายได้ไม่เพียงพอ

เป้าหมายของการขึ้นราคา:

  • สะท้อนต้นทุนจริง ลดภาระงบประมาณของรัฐ

  • กระตุ้นให้ประชาชน คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง

  • ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้ขยะ (Zero Waste)


ตัวเลขใหม่ของ “ค่าเก็บขยะ” ที่คุณควรรู้

จากเดิมบ้านเรือนทั่วไปเสียค่าขยะเพียง 20 บาทต่อเดือน แต่ตามอัตราใหม่ที่มีการเสนอหรือเริ่มทดลองในบางพื้นที่ มีแนวโน้มปรับขึ้นเป็น 45 – 60 บาท/เดือน แล้วแต่ประเภทของครัวเรือนหรือปริมาณขยะที่ปล่อยออก

สำหรับสถานประกอบการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม หรือสำนักงาน อัตราอาจสูงขึ้นตามประเภทกิจกรรม เช่น:

  • ร้านอาหารขนาดใหญ่: 1,000–3,000 บาท/เดือน

  • โรงแรม/หอพัก: ตามจำนวนห้องและประเภทขยะ

แน่นอนว่า การคิดแบบแยกประเภทขยะหรือคิดตามปริมาณ จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมผู้ใช้บริการในอนาคต


ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หรือ “โอกาส” ที่จะประหยัดระยะยาว?

แม้การขึ้นราคาค่าขยะจะดูเหมือนภาระในตอนแรก แต่หากคุณเริ่มคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ไม่เพียงแต่จะช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องจ่ายค่าขนย้าย แต่ยังสามารถ สร้างรายได้ หรือ ลดค่าใช้จ่ายแฝง ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น

1. ขายขยะรีไซเคิลแทนการเทรวม

กระดาษ พลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องอลูมิเนียม ล้วนมีมูลค่า หากสะสมและขายให้กับร้านรับซื้อในชุมชน บางครัวเรือนสามารถคืนเงินค่าขยะได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง

2. ทำปุ๋ยจากขยะอินทรีย์

เศษอาหาร เศษพืชผัก สามารถนำไปหมักเป็นปุ๋ยใช้เองหรือแจกจ่ายในชุมชน ซึ่งช่วยลดกลิ่นเหม็น ลดของเหลวที่ซึมออกจากขยะ และลดค่าขนส่งขยะอินทรีย์

3. ลดถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์

การเลือกซื้อสินค้าแบบ refill หรือพกถุงผ้าช่วยลดขยะก่อนมันจะเกิด และยังเป็นการประหยัดในระยะยาว


โอกาสธุรกิจจากนโยบาย “กทม.ขึ้นค่าเก็บขยะ”

การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในระดับนโยบายย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค และนี่คือ “โอกาสทอง” สำหรับธุรกิจที่พร้อมจะตอบโจทย์สังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง:

1. ถังแยกขยะหลากสี – สินค้าขายดีมาแรง

ครัวเรือนและสำนักงานต่างต้องการ “ถังคัดแยกขยะ” ที่ใช้งานง่าย ดีไซน์เหมาะกับพื้นที่ เช่น:

  • ถังแยก 3 ช่อง (อินทรีย์ / รีไซเคิล / ทั่วไป)

  • ถังพร้อมฝาเปิด-ปิดแบบ hygienic

  • ถังอัจฉริยะสำหรับคอนโดหรือสำนักงาน

2. บริการอบรมการจัดการขยะสำหรับองค์กร

โรงเรียน บริษัท หรืออพาร์ตเมนต์หลายแห่งเริ่มมองหา “ผู้เชี่ยวชาญ” มาช่วยวางระบบคัดแยก รวมถึงฝึกอบรมบุคลากร

3. ธุรกิจรับซื้อขยะถึงบ้าน / บริการ Subscription

กลุ่ม startup ที่ทำงานร่วมกับชุมชน เช่น มีบริการเก็บขยะรีไซเคิลตามตาราง แลกเป็นแต้มสะสมหรือรายได้เสริม


แนวทางปรับตัวของคนเมือง: ไม่ใช่แค่เรื่อง “จ่ายเพิ่ม” แต่คือ “เปลี่ยนวิธีคิด”

1. ปรับระบบขยะในบ้าน

  • ใช้ถังแยกขยะตั้งแต่ในครัว

  • สร้างพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับเก็บขยะรีไซเคิลไว้ขายหรือส่งต่อ

2. ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง

  • ใช้ถุงผ้า แก้วน้ำพกพา

  • เลือกซื้อสินค้าที่ไม่มีบรรจุภัณฑ์เกินจำเป็น

  • ใช้ภาชนะซ้ำ เช่น กล่องอาหาร ถุงซิปล็อก

3. ช่วยกันเปลี่ยนทั้งบ้าน ทั้งชุมชน

  • ชวนคนในครอบครัวร่วมแยกขยะ

  • แชร์ความรู้บนโซเชียล หรือร่วมกิจกรรมกับเขต

  • เสนอโครงการในชุมชน เช่น ตู้แลกขยะรีไซเคิลกับสินค้า


ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: กทม. ควรสื่อสารอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจ?

เพื่อให้การขึ้นค่าเก็บขยะเป็นมากกว่าการ “ประกาศแล้วเก็บเงิน” ทางกรุงเทพมหานครควรพิจารณา:

  • จัดทำ สื่อประชาสัมพันธ์ ที่เข้าใจง่าย เช่น คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก และ QR Code ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลออนไลน์

  • แจก “Starter Kit” สำหรับบ้านที่อยากเริ่มคัดแยก เช่น ถังขยะเบื้องต้น / คู่มือ

  • ใช้ระบบ Point / Reward เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ครัวเรือนร่วมมือ

  • จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อลดแรงต้านจากการเปลี่ยนแปลง


สรุป: ค่าเก็บขยะขึ้น แต่อนาคตสิ่งแวดล้อมของเราก็อาจดีขึ้นเช่นกัน

กทม.ขึ้นค่าเก็บขยะ” อาจไม่ใช่ข่าวที่ฟังแล้วรู้สึกดีในทันที แต่มันคือสัญญาณที่บอกเราว่า การจัดการขยะของเมืองใหญ่ต้องเปลี่ยน และถ้าเราไม่เริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ เราจะต้องเสียเงิน เสียเวลา และเสียสุขภาพในระยะยาว

หากคุณคือเจ้าของบ้าน เจ้าของธุรกิจ หรือผู้ประกอบการ คุณสามารถเริ่มต้นวางแผนและใช้การเปลี่ยนแปลงนี้ให้เป็นประโยชน์ เช่น การคัดแยกขยะให้ลดค่าบริการ การสร้างสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์การคัดแยก หรือการวางระบบให้ชุมชนของคุณอยู่ได้อย่างยั่งยืน