RECHARGE พลัง! เติมความสดชื่น ณ เขาใหญ่
ชีวิตคนเมืองที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบวุ่นวาย ชีวิตที่วนลูปอยู่กับสิ่งเดิมๆ ตื่นเวลาเดิมๆ แย่งกันขึ้นรถไฟฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน หรือต้องฝ่ารถติดท่ามกลางเสียงแตร ซื้อกาแฟ อาหารเช้าแบบ grab & go ชีวิตที่ถูก “ขโมยเวลา” กว่า 8 ชั่วโมง นั่งทำงานอยู่ออฟฟิศ ซึ่งในระหว่างวันอาจจะเจอภาวะความกดดันหลายอย่าง ไม่ว่าจากเจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงาน ชีวิตเต็มไปด้วยการแข่งขัน ซึ่งคนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ในสังคมนี้ (จึงเป็นที่มาของวลี “อ่อนแอ ก็แพ้ไป”) เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงเป็นช่วงที่คนเมืองทั้งหลาย ต่างมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัดใกล้ๆ ที่ใช้เวลาขับรถเพียง 2-3 ชั่วโมง อย่าง หัวหิน พัทยา เขาใหญ่ เพื่อหลบหลีกความวุ่นวาย หามุมสงบ ปลดปล่อยทุกพันธนาการ สัมผัสธรรมชาติที่บริสุทธิ์ RECHARGE พลัง เพื่อให้มีแรงกลับมาลุยงานต่อในวันจันทร์
ช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน เราซื้อแพคเก็จจากงานไทยเที่ยวไทยที่จัดขึ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สำหรับสายท่องเที่ยว แน่นอนว่าคงไม่พลาดงานนี้อยู่แล้ว เพราะว่าราคาที่พัก ราคาตั๋วเครื่องบิน หรือราคาอาหารนานาชาติ จะถูกกว่าราคาปกติมาก แถมถ้าเราจ่ายผ่านบัตรเครดิตที่เข้าร่วมโปรโมชั่น ก็สามารถนำไปแลกของรางวัลพิเศษได้อีก รอบนี้เราซื้อที่พักของโรงแรม La Casetta by Toscana Valley (3,500 บาท / คืน ถ้าพักวันศุกร์-เสาร์ จ่ายเพิ่มอีก 1,000) ซึ่งเราเคยไปพักมาครั้งนึงแล้ว ประทับใจในสถานที่ และการบริการของพนักงาน เลยกลับมาอีกครั้ง
การเดินทางครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีพายุฝน แต่ด้วยความที่อยากไปจัด เราค่อยๆ ขับรถฝ่าสายฝน ซึ่งตกตลอดทางแบบ non-stop ตั้งแต่กรุงเทพฯ จนถึงเขาใหญ่ สำหรับเส้นทางเขาใหญ่ เราวิ่งเส้นวิภาวดี ขึ้น motorway ยิงยาวจนสุดทาง ผ่านรังสิต นวนคร วังน้อย หนองแค หินกอง มุ่งหน้าเข้าสระบุรี วิ่ง 2 เลนขวาสุด ขึ้นสะพานข้ามแยก ลงมาก็ตรงยาว ผ่านทับกวาง โรงปูนอินทรีย์ อ. มวกเหล็ก สำหรับใครที่หิวระหว่างทาง อาจจะแวะทานสเต็กที่ฟาร์มโชคชัยก็ได้นะคะ แต่ต้องกลับรถ เพราะอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เรายิงยาวจนถึงโลตัสที่อยู่ซ้ายมือ สังเกตร้านแม็คโดนัลที่อยู่ริมถนน เลยร้านแม็คไปจะมีแยกด้านซ้ายมีป้ายเขาใหญ่ ให้วิ่งตามป้ายโค้งลง ถ. ธนะรัชต์ ทีนี้ก็ตรงยาวเลย ระหว่างทาง มีร้านอาหารอร่อยหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็น Ribs Man ซึ่งโดดเด่นเรื่องอาหารรมควัน อย่าง แฮมซี่โครงหมูรมควัน พอร์คชอปรมควัน หรือไส้กรอกแฮมรมควัน และยังมีร้าน Midwinter Green ตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวียน หรือร้าน The Chocolate Factory ซึ่งไม่ได้โดดเด่นแค่ช็อคโกแลต แต่ยังมีอาหารคาว-หวาน อร่อยๆ มากมายอีกด้วย รอบนี้เราแวะทานมื้อเที่ยงที่ The Mew ซึ่งเป็นคาเฟ่ชิคๆ ออกแบบสไตล์โรงนาท่ามกลางสวนสวย และดอกหญ้าสีเขียวอ่อนที่พริ้วไหว นอกจากบรรยากาศภายใน-นอกร้านยังสวยแล้ว อาหารก็หน้าตาดี และรสชาติดีไม่แพ้กัน เมนูซิกเนเจอร์ที่พลาดไม่ได้คือ “Homemade Herbal Fettuccini White Sauce Black Truffles” เส้นเฟตตูชินี่สมุนไพรไวท์ซอส และเห็ดทรัฟเฟิล รสชาติเข้มข้น topped ด้วยพาร์เมซานชีส และเบคอนทอดกรอบ บอกเลยว่าต้องลอง
หลังจากจัดอาหารชุดใหญ่ที่ The Mew ไปเรียบร้อยแล้ว หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ถึงเวลาต้องเติมคาเฟอีนเข้าร่างกาย เราเดินทางมุ่งหน้าไปเส้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพื่อไปลองร้านคาเฟ่ลับเปิดใหม่ที่ซุกซ่อนอยู่ในโครงการมลลดา (Monlada) ซึ่งเป็นโครงการที่พักส่วนตัวที่โอบล้อมด้วยขุนเขา และธรรมชาติสีเขียว ทางเดินเข้าร้านออกแบบเป็นซุ้มไม้เลื้อย เราเดินลอดอุโมงค์ จนมาถึงหน้าประตูทางเข้า และสะดุดตากับภาพเพ้นท์กำแพง ซึ่งเป็นรูปน้องหมา ใส่หมวกทักซิโด้สูบไปป์ น่ากวนๆ ซึ่งเป็นโลโก้ของร้าน “Please don’t tell”
ภายในร้านตกแต่งสไตล์ Rustic Loft เพดานสูง โปร่ง คุมโทนสีน้ำตาล-ดำ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์หนังสไตล์วินเทจ โต๊ะไม้ ผนังที่ทำจากอิฐ มีมุมนั่งเล่นหลายมุม และยังออกแบบให้มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่รอบด้าน ที่เชื่อมต่อกับโซนเอาท์ดอร์ที่เป็นชานไม้ยื่นออกไป มีเคาน์เตอร์ไม้ยาว ให้เราได้จิบกาแฟ พร้อมเสพวิวธรรมชาติ และขุนเขาที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างเต็มตา เรียกว่าเครื่องดื่มราคาหลักร้อย แต่ได้วิวหลักร้าน คุ้มจริงๆ
หลังจากเติมพลังแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังเส้นวังน้ำเขียวเพื่อไปเช็คอินที่ Hotel La Casetta โรงแรมน้องใหม่ ที่อยู่ภายในโครงการ Toscana Valley ซึ่งเหมือนดินแดนในฝัน จำลองบรรยากาศเมืองเล็กในทัศคานี ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ภายใต้อ้อมกอดแห่งขุนเขา ระยะทางเข้าไปโรงแรมค่อนข้างลึกพอสมควร แต่เราก็ขับรถขึ้นเนินเขาอย่างชิลๆ ดื่มด่ำบรรยากาศทุ่งหญ้าสีเขียวตลอดเส้นทาง ผ่าน Town Square ซึ่งมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และคาเฟ่สไตล์ยุโรป และสุดท้ายก็มาถึงจุดหมายของเรา…THE WAIT IS OVER!!!
Hotel La Casetta มีห้องให้เลือก 3 แบบ ทั้ง CASETTA LOFT (70 ตร.ม.) ห้องสไตล์ลอฟท์เพดานสูง 2 ชั้น ซึ่งสามารถรองรับแขกได้ 4 คน ซึ่งเราเคยไปพักเมื่อปีที่แล้วชอบมากๆ ห้อง CASETTA MOUNTAIN (49 ตร.ม.) อยู่ชั้น 2 เห็นวิวภูเขาชัดมาก และห้อง CASETTA GARDEN (49 ตร.ม.) ชั้น 1 เชื่อมต่อกับสวน และสระว่ายน้ำออกแบบสไตล์โรมัน มีโซนที่เป็นจากุซซี่ เราเลือกห้องนี้ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบวิวสระว่ายน้ำ และที่สำคัญห้องนี้มีอ่างอาบน้ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ recharge พลังอย่างแท้จริง
ต้องบอกเลยว่าเขาใหญ่ยามฝนตกเป็นอะไรที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลมาก เพราะว่าเราจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่ชุ่มชื่น ละอองฝนที่ปกคลุม ต้นไม้ ใบหญ้าที่เขียวขจี สัมผัสไอดิน และสายหมอกที่ปกคลุมขุนเขา เป็นอะไรที่โรแมนติกมากๆ
สำหรับแพ็คเกจที่ซื้อมา เป็นราคาที่รวมอาหารเช้าด้วย ที่โรงแรม La Casetta จัดเป็น Line Buffet ซึ่งไม่ได้อลังการมาก แต่ก็มีเมนูอาหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขนมปัง ครัวซอง ชีส French Toast ปาท่องโก๋ salad bar โซนที่ทำ Omelette ไข่ดาว โซนก๋วยเตี๋ยว และยังมีกาแฟสดที่บาริสต้าชงให้สดๆ อีกด้วย
สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ โรงแรมนี้มีมุมสวยเยอะมาก เก็บภาพแบบไม่หวาดไม่ไหว และที่นี่ค่อนข้างตอบโจทย์ในเรื่องของการพักผ่อน เพราะว่ามีความเป็นส่วนตัว และธรรมชาติมากๆ จนเราอยากจะหยุดเวลาแห่งความสุขไว้ที่นี่
ตกบ่าย เราขับรถไปทำบุญ ถวายสังฆทานที่วัดเขาใหญ่ ร่างกายเริ่มเรียกร้องหาคาเฟอีน จึงมุ่งหน้าไปเส้นธนะรัชต์ ตามลายแทงร้านดัง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้ากิโลเมตรที่ 24 (เส้นเดียวกับ Primo Piazza) ขับตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะเจอป้ายร้าน “Yellow Submarine Coffee Tank” อยู่ด้านซ้ายมือ เลี้ยวเข้าไปก็จะเจออีกหนึ่งคาเฟ่ลับ ที่ซ่อนตัวท่ามกลางธรรมชาติ เมื่อเดินผ่านทางเดินที่รายล้อมด้วยต้นยูคาลิปตัส ก็จะพบกับร้านคาเฟ่เรือดำน้ำสุดฮิตที่เจ้าของร้านได้รับแรงบันดาลใจจากบทเพลง “Yellow Submarine” ของวง The Beatles จึงได้รังสรรค์สถาปัตยกรรม รูปทรงสี่เหลี่ยมสีดำที่โดดเด่น ตั้งตระหง่านใจกลางสวนต้นยมหอม ท่ามกลางฉากหลังของขุนเขา ร้านนี้ยังได้รางวัลสถาปัตยกรรมด้านการให้บริการยอดเยี่ยมประจำปี 2017 จากเว็บไซต์ ArchDaily อีกด้วย สำหรับสายอาร์ท สายดาร์ค คงจะชอบความดิบๆ เท่ๆ และการออกแบบที่คุมโทนสีดำของร้านนี้ และยังมีมุมที่นั่งให้เลือกหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นโซนอินดอร์ในห้องกระจก หรือโซนเอาท์ดอร์ที่ออกแบบให้เป็นโต๊ะยาวๆ สำหรับนั่งกับกลุ่มเพื่อน หรือ โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่ง 2 คน อีกด้วย เรียกได้ว่าได้จิบกาแฟ และยังได้เสพงานศิลป์อีกด้วย
สำหรับทริปนี้ เราไม่ค่อยได้ตะลอนไปที่ไหนมากนัก ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ที่โรงแรม นั่งเล่นริมสระ ปล่อยใจไปกับธรรมชาติสีเขียวที่อยู่รอบตัว ซึมซับบรรยากาศที่บริสุทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าพลังจากธรรมชาติ จะช่วยชะล้างจิตวิญญาณเราให้สงบขึ้น เติมพลังให้เรามีแรงกลับไปเผชิญหน้ากับปัญหา และความวุ่นวายในเมืองกรุง และเมื่อไหร่ที่เราถูกดูดพลังดีๆ ไปหมด แน่นอนว่าเราก็จะ “กลับคืนสู่ธรรมชาติ” อีกครั้ง
Till we meet again…เขาใหญ่
หากคุณมีเรื่องราวไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ ที่ต้องการประชาสัมพันธ์ในเวบไซต์ Alive Around ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทเทรนด์แฟชั่น ความงาม ร้านอาหาร คาเฟ่สุดชิค แหล่งท่องเที่ยว หรือสถานที่แฮงค์เอ้าท์สุดคูล เทรนด์การตกแต่งบ้าน งานศิลปะ การออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือแม้แต่ข่าวสาร และเกร็ดความรู้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ งานอีเว้นท์ เทคโนโลยี แก็ดเจ็ตใหม่ล่าสุด ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ สามารถติดต่อกับทีม Admin ของเราได้ที่ www.alivearound.com โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น